ในปัจจุบันการทำเล็บกลายเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการดูแลตัวเองและแสดงออกถึงสไตล์เฉพาะตัวของแต่ละคน ซึ่งในบรรดาบริการทำเล็บทั้งหมด “การทาเล็บเจล” ถือว่าเป็นที่นิยมมากที่สุด แต่หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมราคาของการทาเล็บเจลถึงสูงกว่าการทาเล็บธรรมดา วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ
1. ความคงทนและคุณภาพที่เหนือกว่า
หนึ่งในเหตุผลหลักคือ ความทนทาน ของเล็บเจลที่เหนือกว่าการทาเล็บธรรมดา โดยเล็บเจลสามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 2–3 สัปดาห์โดยไม่หลุดลอกหรือซีดจาง ต่างจากยาทาเล็บธรรมดาที่อาจหลุดภายในไม่กี่วัน ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป แม้ราคาจะสูงกว่า
2. วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้มีต้นทุนสูงกว่า
การทาเล็บเจลต้องใช้ เจลคุณภาพสูง และเครื่องอบเล็บ UV หรือ LED เพื่อให้เจลแห้งและติดแน่น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาสูงและต้องดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนกับการทาเล็บธรรมดาที่ใช้เพียงน้ำยาทาเล็บและไม่ต้องพึ่งเครื่องอบ
3. ใช้เวลาและความชำนาญมากกว่า
ขั้นตอนการทำเล็บเจลมีความละเอียดซับซ้อนมากกว่าการทาเล็บทั่วไป ตั้งแต่การเตรียมหน้าเล็บ การลงเบสเจล การทาเจลสี การอบ และการลงท็อปโค้ต ต้องใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 1–2 ชั่วโมง และต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญสูง จึงเป็นธรรมดาที่ราคาจะสูงกว่าทั่วไป
4. การถอดเล็บเจลต้องใช้วิธีพิเศษ
นอกจากการทำแล้ว การถอดเล็บเจลก็ต้องใช้ขั้นตอนเฉพาะ เช่น การแช่ด้วยอะซิโตนและห่อด้วยฟอยล์ เพื่อไม่ให้เล็บธรรมชาติถูกทำลาย ซึ่งต่างจากเล็บธรรมดาที่สามารถล้างออกได้ง่าย การดูแลทั้งกระบวนการจึงมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามไปด้วย
5. การออกแบบลวดลายที่หลากหลายและคงทน
เล็บเจลสามารถสร้างลวดลายที่ซับซ้อนได้มากกว่า สีสันสดใส และติดทนนาน ไม่ลอกง่าย ช่างเล็บจึงต้องใช้เทคนิคและอุปกรณ์พิเศษ เช่น แปรงเขียนลาย สีเจลเฉพาะ ลวดลายพิเศษ หรือการฝังของตกแต่ง ทำให้ค่าบริการสูงขึ้นตามความยากและเวลาที่ใช้
การทาเล็บเจลอาจมีราคาสูงกว่าการทาเล็บธรรมดา แต่ก็แลกมากับความสวยงามที่ติดทนนาน ความละเอียดในงานฝีมือ วัสดุและเครื่องมือที่มีคุณภาพ ตลอดจนบริการที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ดังนั้น หากมองในแง่ของความคุ้มค่า การเลือกทำเล็บเจลจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการความสวยที่อยู่กับเรานานกว่าวันสองวันแน่นอนค่ะ